วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2562

ข่าว 10 ก.ย. 62


สุขภาพจิต : ความเครียดของแม่อาจทำให้ลูกในท้องมีความผิดปกติทางบุคลิกภาพเพิ่มขึ้น


งานวิจัยล่าสุดจากฟินแลนด์พบหลักฐานบ่งชี้ว่า เด็กที่แม่มีภาวะเครียดอย่างรุนแรงระหว่างตั้งครรภ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่าที่จะเกิดภาวะผิดปกติทางบุคลิกภาพ (personality disorders) ภายในอายุ 30 ปี อ่านเพิ่มเติม

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2562

4 ส.ค. 62


วัยรุ่นอังกฤษตาบอด หลังกินแต่มันฝรั่งทอดเป็นอาหารหลายปี




มีคำเตือนจากแพทย์อังกฤษให้ทุกคนระมัดระวังและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเลือกกินอาหารแบบสุดขั้ว หลังพบว่าวัยรุ่นชายอายุ 17 ปีผู้หนึ่งต้องตาบอดอย่างถาวร หลังเลือกกินแต่มันฝรั่งทอดและขนมกรุบกรอบเป็นอาหารหลักมานานหลายปีอ่านเพิ่มเติม

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ข่าว 27 ส.ค. 62

บริษัทจีนมีแผน "โอนถ่ายความทรงจำ" จากสัตว์เลี้ยงต้นแบบสู่ตัวโคลนในอนาคต

ลูกแมวชื่อ "ต้าซ่วน" หรือ "น้องกระเทียม" เป็นแมวที่จีนโคลนได้สำเร็จเป็นตัวแรกImage copyrightSINOGENE
คำบรรยายภาพลูกแมวชื่อ "ต้าซ่วน" หรือ "น้องกระเทียม" เป็นแมวที่จีนโคลนได้สำเร็จเป็นตัวแรก
บริษัทซิโนยีน ไบโอเทคโนโลยี (Sinogene Biotechnology) ธุรกิจเอกชนด้านเทคโนโลยีชีวภาพของจีน เปิดตัวลูกแมวชื่อ "ต้าซ่วน" หรือ "น้องกระเทียม" ซึ่งเป็นแมวที่โคลนได้สำเร็จเป็นตัวแรกของประเทศ ทั้งยังเผยแผนการพัฒนาธุรกิจโคลนสัตว์เลี้ยงซึ่งกำลังเป็นที่นิยมให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น โดยจะเร่งวิจัยเพื่อหาทาง "โอนถ่ายความทรงจำ" จากสัตว์ตัวต้นแบบมาสู่ตัวโคลนให้ได้ในอนาคต
หนังสือพิมพ์โกลบอลไทมส์ของทางการจีนรายงานว่า ทางบริษัทซิโนยีนฯ ได้แถลงถึงแผนการที่เตรียมจะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) รวมทั้งระบบ Human - Machine Interface (HMI) ซึ่งเชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างคนและเครื่องจักร มาใช้เก็บข้อมูลความทรงจำของสัตว์เลี้ยงตัวต้นแบบ หรือแม้กระทั่งถ่ายโอนความทรงจำดังกล่าวให้กับสัตว์ที่โคลนจากตัวต้นแบบได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทไม่ได้ชี้แจงในรายละเอียดว่าการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่ปรากฏว่าการถ่ายโอนความทรงจำในสิ่งมีชีวิตนั้นสามารถทำได้
นายไหล เหลียงเสวีย หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ของบริษัทซิโนยีนฯ บอกว่า สัตว์ที่เกิดจากการโคลนนั้นแม้จะมีรูปร่างหน้าตาและข้อมูลทางพันธุกรรมเหมือนกับสัตว์ตัวต้นแบบทุกประการ แต่ก็มีบุคลิก อารมณ์ความรู้สึก และลักษณะนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งความแตกต่างตรงนี้เจ้าของสัตว์เลี้ยงบางคนที่นำสัตว์ตัวโปรดมาโคลนทำสำเนาเอาไว้ก็อาจจะไม่ต้องการ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธุรกิจรับโคลนสัตว์เลี้ยงที่เสียชีวิตลงเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ชาวจีน โดยเป็นบริการที่ช่วยปลอบประโลมเจ้าของที่ต้องสูญเสียสัตว์เลี้ยงแสนรักไปให้ไม่ต้องรู้สึกเศร้าโศกเสียใจมากนัก เพราะยังมีตัวโคลนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกประการมาทดแทน เสมือนว่าสัตว์เลี้ยงตัวเดิมไม่ได้จากไปไหน
เมื่อปีที่แล้วบริษัทเดียวกันได้โคลนสุนัขพันทางชื่อ "กั่วจือ" ซึ่งเป็นดาวดังทางโทรทัศน์ โดยใช้สุนัขพันธุ์บีเกิลเป็นแม่อุ้มบุญImage copyrightREUTERS
คำบรรยายภาพเมื่อปีที่แล้วบริษัทเดียวกันได้โคลนสุนัขพันทางชื่อ "กั่วจือ" ซึ่งเป็นดาวดังทางโทรทัศน์ โดยใช้สุนัขพันธุ์บีเกิลเป็นแม่อุ้มบุญ
ในกรณีของ "น้องกระเทียม" ลูกแมวโคลนตัวล่าสุดนั้น เจ้าของบอกว่าตัดสินใจว่าจ้างให้บริษัทซิโนยีนฯ ทำการโคลนแมวตัวโปรดที่ตายลงเพราะโรคทางเดินปัสสาวะ โดยมีสนนราคาค่าบริการที่ 250,000 หยวน หรือราว 1.1 ล้านบาท ส่วนการโคลนสุนัขนั้นจะมีราคาแพงกว่าที่ 380,000 หยวน หรือราว 1.6 ล้านบาท
เมื่อปีที่แล้วบริษัทเดียวกันได้โคลนสุนัขพันทางชื่อ "กั่วจือ" ซึ่งเป็นดาวดังทางโทรทัศน์ของจีนได้สำเร็จ โดยเพาะเซลล์ที่ได้จากสุนัขต้นแบบให้กลายเป็นตัวอ่อนเสียก่อน แล้วจึงปลูกถ่ายตัวอ่อนนั้นเข้าไปในครรภ์ของสัตว์ที่เป็นแม่อุ้มบุญ ซึ่งจะอุ้มท้องและคลอดลูกสุนัขที่เหมือนกับตัวต้นแบบทุกประการเมื่อครบกำหนด
แม้การโคลนสิ่งมีชีวิตจะมีปัญหาในทางเทคนิคและจริยธรรมอยู่บ้าง เนื่องจากสัตว์ที่เกิดมาด้วยวิธีนี้มักมีปัญหาทางสุขภาพและมีอายุสั้นกว่าสัตว์ชนิดเดียวกันที่เกิดมาด้วยวิธีธรรมชาติ แต่นายไหลยืนยันว่าสุนัขและแมวที่เกิดจากการโคลนของทางบริษัท มีแนวโน้มจะมีอายุขัยเฉลี่ยเท่ากับสัตว์ชนิดเดียวกันโดยทั่วไป

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ข่าว 25 ส.ค. 62

นิวซีแลนด์พบฟอสซิลเพนกวินยักษ์ 66 ล้านปี ตัวใหญ่เท่ามนุษย์

เพนกวินImage copyrightCANTERBURY MUSEUM
คำบรรยายภาพภาพจำลองเพนกวินยักษ์ยุคโบราณที่พิพิธภัณฑ์แคนเทอเบอรีสร้างขึ้น
พิพิธภัณฑ์แคนเทอเบอรีของนิวซีแลนด์เผยว่า ได้ค้นพบเพนกวินยุคดึกดำบรรพ์สายพันธุ์ใหม่ที่มีขนาดใหญ่ยักษ์พอกับคนคนหนึ่ง โดยผลการวิเคราะห์ฟอสซิลกระดูกขาของมันชี้ว่า เพนกวินยักษ์ชนิดนี้อาจมีความสูงถึง 1.6 เมตร และหนักสูงสุดได้ถึง 80 กิโลกรัม
เมื่อปีที่แล้วนักบรรพชีวินวิทยามือสมัครเล่นได้ค้นพบฟอสซิลกระดูกขาของเพนกวินยักษ์หลายชิ้น ในทางตอนเหนือของภูมิภาคแคนเทอเบอรีซึ่งตั้งอยู่บนเกาะใต้ของนิวซีแลนด์ ผลการตรวจสอบอายุของฟอสซิลพบว่ามีความเก่าแก่ตรงกับสมัยพาลีโอซีน (Paleocene epoch) หรือเมื่อ 56-66 ล้านปีก่อน
ทางพิพิธภัณฑ์แคนเทอเบอรีเรียกชื่อเล่นของเพนกวินสายพันธุ์ crossvallia waiparensis นี้ว่า "เพนกวินปีศาจ" (monster penguin) โดยศาสตราจารย์พอล สโคฟีลด์ ภัณฑารักษ์อาวุโสของพิพิธภัณฑ์บอกกับบีบีซีว่า เพนกวินยักษ์นี้เป็นชนิดพันธุ์ใหม่อีกสปีชีส์หนึ่งที่พบเฉพาะในบริเวณน่านน้ำแถบซีกโลกใต้เท่านั้น โดยก่อนหน้านี้มีการค้นพบฟอสซิลเพนกวินยักษ์สายพันธุ์ใกล้เคียงคือ crossvallia unienwillia ที่ทวีปแอนตาร์กติกามาแล้ว
"พวกมันเป็นเพนกวินขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งเท่าที่วิทยาศาสตร์เคยค้นพบมา สาเหตุที่มันมีตัวใหญ่ยักษ์แบบนี้อาจเป็นเพราะวิวัฒนาการ ซึ่งทำให้เผ่าพันธุ์เพนกวินยักษ์ก้าวขึ้นมาแทนที่ไดโนเสาร์และสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ในมหาสมุทรที่สูญพันธุ์ไปในสมัยพาลีโอซีน" ศ. สโคฟีลด์กล่าว
นักบรรพชีวินวิทยาค้นพบฟอสซิลกระดูกขาของเพนกวินยักษ์เมื่อปีที่แล้วImage copyrightCANTERBURY MUSEUM
คำบรรยายภาพนักบรรพชีวินวิทยาค้นพบฟอสซิลกระดูกขาของเพนกวินยักษ์เมื่อปีที่แล้ว
"ในยุคนั้นสัตว์ต่าง ๆ มีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะอุณหภูมิของน้ำทะเลโดยรอบนิวซีแลนด์ในขณะนั้นอบอุ่นเหมาะสมที่ 25 องศาเซลเซียส ต่างจากทุกวันนี้ที่น้ำเย็นเยียบโดยเฉลี่ยราว 8 องศาเซลเซียส"
"ช่วงเวลา 30 ล้านปีหลังไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปจากโลก ถือเป็นยุคที่เพนกวินยักษ์ครอบครองน่านน้ำในแถบซีกโลกใต้อย่างแท้จริง คาดว่าพวกมันน่าจะใช้เท้าในการว่ายน้ำมากกว่าเพนกวินในปัจจุบันหลายเท่า"
อย่างไรก็ตาม ดร.เจอรัลด์ มายเออร์ จากสถาบันวิจัยเซนเคนแบร์กของเยอรมนี หนึ่งในทีมผู้วิเคราะห์ฟอสซิลบอกว่า ยังไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุที่ทำให้เพนกวินยักษ์นี้สูญพันธุ์ไปในที่สุด แต่มีข้อสันนิษฐานว่าพวกมันไม่สามารถจะแข่งขันกับสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม เช่นวาฬมีฟันและแมวน้ำที่มีวิวัฒนาการขึ้นมาในภายหลังได้
"ในยุคทองของเพนกวินยักษ์ดึกดำบรรพ์นั้น แผ่นดินนิวซีแลนด์ยังคงเป็นผืนเดียวกับทวีปออสเตรเลียซึ่งเชื่อมต่อกับทวีปแอนตาร์กติกาอยู่ โดยน่านน้ำในแถบนั้นไม่มีสัตว์ผู้ล่าขนาดใหญ่ที่เป็นคู่แข่งกับเพนกวินยักษ์มาก่อนเลย จนกระทั่งเกิดมีเผ่าพันธุ์สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมขึ้นในหลายล้านปีต่อมา แต่นี่อาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญก็เป็นได้" ดร. มายเออร์กล่าว

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ข่าว 13 ส.ค. 62

หมีน้ำ : นักวิทยาศาสตร์คาดหมีน้ำอยู่รอดบนดวงจันทร์หลังยานอวกาศอิสราเอลเกิดอุบัติเหตุ

ทาร์ดิเกรด
Image copyrightGETTY IMAGES
คำบรรยายภาพทาร์ดิเกรดเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ทนทานต่อทุกสภาวะแม้ไร้อากาศ ไร้น้ำ หรือมีกัมมันตรังสี

แม้ที่ผ่านมาเราจะยังค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์ไม่พบ แต่ล่าสุดมีความเป็นไปได้ว่า สัตว์ที่แข็งแกร่งและทนทรหดที่สุดในโลกอย่างตัวทาร์ดิเกรดหรือ "หมีน้ำ" หลายพันตัวกำลังใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น โดยพวกมันอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่อยู่รอด หลังยานอวกาศเบเรชีต (Beresheet) ของบริษัทเอกชนอิสราเอล ประสบอุบัติเหตุพุ่งชนพื้นผิวดวงจันทร์ไปเมื่อสี่เดือนก่อน
มูลนิธิอาร์กมิชชัน (Arch Mission Foundation) องค์กรไม่แสวงผลกำไรในสหรัฐฯ ซึ่งมุ่งเก็บสำรองสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่าง ๆ ของโลกเพื่ออนาคต เปิดเผยว่าเป็นผู้ดำเนินการให้ยานเบเรชีตขนเอาหมีน้ำราว 2,000 - 3,000 ตัวไปยังดวงจันทร์ด้วย ก่อนที่ยานจะขาดการติดต่อกับศูนย์ควบคุมขณะพยายามลงจอด โดยภายหลังพบว่ายานพุ่งชนพื้นผิวดวงจันทร์จนเสียหายไม่สามารถใช้การได้
อย่างไรก็ตาม นายโนวา สพิแว็ก ผู้ก่อตั้งมูลนิธิดังกล่าวชี้ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่หมีน้ำเหล่านี้จะยังคงอยู่รอดได้บนดวงจันทร์ ซึ่งมีสภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต


ดวงจันทร์Image copyrightREUTERS
คำบรรยายภาพภาพของพื้นผิวดวงจันทร์ที่ยานเบเรชีตถ่ายไว้ได้ก่อนเกิดเหตุพุ่งชนไม่นาน

หมีน้ำเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำทั่วโลก มีขนาดเล็กไม่ถึง 1 มิลลิเมตรและเคลื่อนไหวเชื่องช้า มีความทนทานต่อสภาวะที่โหดร้ายต่าง ๆ เช่นแรงดันมหาศาล, อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งซึ่งติดลบนับร้อยองศาเซลเซียส รวมทั้งอุณหภูมิที่สูงกว่าจุดเดือด
เคยมีการทดลองนำหมีน้ำขึ้นสู่ห้วงอวกาศโดยไร้การป้องกันใด ๆ โดยให้มันอยู่ในสภาพที่ไร้น้ำหนัก ไม่มีอากาศ ไม่มีอาหารและน้ำ ทั้งยังสัมผัสรังสีอันตรายจากอวกาศโดยตรง ปรากฎว่าหมีน้ำในการทดลองนี้จำนวนหนึ่งยังคงมีชีวิตอยู่เมื่อถูกนำกลับสู่พื้นโลก แถมยังออกลูกออกหลานเพิ่มมาอีกด้วย


หมีน้ำImage copyrightSCIENCE PHOTO LIBRARY
คำบรรยายภาพทาร์ดิเกรดเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ทนทานต่อทุกสภาวะแม้ไร้อากาศ ไร้น้ำ หรือมีกัมมันตรังสี

ดร. ลูคาซ คาซมาเรก นักชีวดาราศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญเรื่องหมีน้ำจากมหาวิทยาลัยอดัมมิซกิวิซ (AMU)ของโปแลนด์ แสดงความเห็นว่า เป็นไปได้ที่หมีน้ำจะมีชีวิตรอดจากเหตุยานอวกาศพุ่งชนพื้นผิวดวงจันทร์ เนื่องจากพวกมันสามารถทนทานต่อแรงดันมหาศาลระดับอุกกาบาตพุ่งชนพื้นโลกได้มาแล้ว นอกจากนี้ พวกมันยังอาจเข้าสู่สภาวะจำศีลโดยทำตัวให้หดแห้งลง เพื่อให้อยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งและมีอุณหภูมิสุดขั้วเป็นเวลานับร้อยปี
"แต่ในระหว่างที่จำศีลอยู่ พวกมันจะไม่สามารถแพร่พันธุ์หรือทำกิจกรรมใด ๆ ของสิ่งมีชีวิตได้ จึงไม่ต้องกังวลว่าหมีน้ำจะขยายพันธุ์เป็นจำนวนมากขึ้นจนถึงขั้นครอบครองดวงจันทร์ หรือกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ปนเปื้อนระบบนิเวศของดวงจันทร์" ดร. คาซมาเรกกล่าว "เว้นเสียแต่ว่าพวกมันจะได้รับน้ำ จึงจะสามารถฟื้นตัวและกลับมาเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง"

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2562

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ข่าว 1 ส.ค. 62

สเต็มเซลล์: นักวิจัยญี่ปุ่นเดินหน้าปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดของมนุษย์เข้าไปในหนู


ตัวอ่อนImage copyrightGETTY IMAGES
รัฐบาลญี่ปุ่นอนุมัติให้นักวิทยาศาสตร์ทดลองเลี้ยงตัวอ่อนสัตว์ที่มีอวัยวะบางส่วนเป็นเซลล์ของมนุษย์ได้แล้ว หลังจากที่สั่งระงับไปเมื่อหลายปีก่อน โดยคราวนี้ได้เห็นชอบให้ตัวอ่อน "ครึ่งคนครึ่งสัตว์" สามารถเติบโตจนครบกำหนดคลอดและลืมตาดูโลกได้ด้วย
หลังจากที่ต้องรอคอยมาเป็นเวลานานกว่าสิบปี ในที่สุดทางการญี่ปุ่นก็ได้อนุมัติให้ ดร.ฮิโรมิซึ นากาอุจิ นักวิจัยด้านเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ประจำมหาวิทยาลัยโตเกียวและมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดของสหรัฐฯ เดินหน้าทำการทดลองปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากมนุษย์เข้าไปในตัวอ่อนของหนูได้ เพื่อหาหนทางสร้างอวัยวะอะไหล่ที่มีคุณภาพสำหรับการรักษาโรคในมนุษย์
ก่อนหน้านี้ การทดลองในลักษณะดังกล่าวถูกทางการญี่ปุ่นสั่งระงับไปในปี 2014 ด้วยเหตุผลที่ว่าอาจเป็นการละเมิดหลักเกณฑ์ทางจริยธรรม เนื่องจากหมิ่นเหม่ต่อการสร้างสิ่งมีชีวิตที่เป็นทั้งคนและสัตว์ขึ้นมา ในหลายประเทศทั่วโลกได้สั่งห้ามทำการทดลองนี้เช่นกัน บางแห่งอนุญาตเพียงให้ตัวอ่อนเติบโตได้ระยะหนึ่งก่อนจะต้องทำลายทิ้ง
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาทางการญี่ปุ่นได้ประกาศให้การทดลองดังกล่าวเป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งอนุญาตให้ปลูกถ่ายตัวอ่อนครึ่งคนครึ่งสัตว์ไปไว้ในครรภ์ของสัตว์ที่เป็นแม่อุ้มบุญ จนเติบโตครบตามกำหนดและคลอดออกมาได้อีกด้วย โดยมีเงื่อนไขว่า สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาจะต้องมีเซลล์สมองที่เป็นเซลล์ของมนุษย์ไม่เกิน 30% เท่านั้น
ดร. นากาอุจิ กล่าวกับหนังสือพิมพ์อาซาฮีของญี่ปุ่นว่า "เพื่อความเข้าใจอันดีและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับสาธารณชน เราจะยังไม่เดินหน้าสร้างตัวอ่อนครึ่งคนครึ่งสัตว์ให้ได้ในทันที แต่จะทำการวิจัยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสานต่องานที่ทิ้งค้างไว้เมื่อหลายปีก่อนเป็นอันดับแรก"
หนูทดลองตัวนี้ได้รับการปลูกถ่ายเซลล์สมองจากมนุษย์ ทำให้มีความฉลาดสูงขึ้น
จะมีการใช้เซลล์ต้นกำเนิดชนิด IPS จากมนุษย์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่ถูกทำให้มีศักยภาพในการเติบโตเป็นอวัยวะได้หลากหลายประเภท โดยฉีดเข้าไปในตัวอ่อนของหนูที่ถูกตัดต่อพันธุกรรมจนไม่สามารถสร้างตับอ่อนของตัวเองได้ ทีมวิจัยของ ดร.นากาอุจิคาดว่า ตัวอ่อนหนูจะนำเซลล์ต้นกำเนิดของมนุษย์ไปใช้ และสร้างตับอ่อนที่เป็นเซลล์ของมนุษย์ขึ้นแทนที่ในร่างกาย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกมีการทดลองสร้างตัวอ่อนครึ่งคนครึ่งสัตว์หลายครั้งกับสัตว์หลากหลายชนิด เช่น หมู แกะ และไก่ โดยมีเป้าหมายในการผลิตอวัยวะอะไหล่เพื่อใช้รักษาโรคในมนุษย์เช่นกัน แต่ปัญหาทางจริยธรรมที่กังวลกันก็คือ อาจไม่สามารถควบคุมสัดส่วนการแพร่กระจายและลักษณะการเติบโตของเซลล์มนุษย์ในตัวอ่อนสัตว์ได้ ทั้งยังมีคำถามว่าหากสมองของตัวอ่อนมีเซลล์มนุษย์ในสัดส่วนสูง จะถือว่าสิ่งมีชีวิตนั้นมีความเป็นมนุษย์สูงตามไปด้วยหรือไม่
ดร. นากาอุจิให้คำมั่นว่า "เราจะพยายามเพื่อให้มั่นใจได้ว่า เซลล์มนุษย์จะคงอยู่ในตัวสัตว์เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ไม่มีการถ่ายทอดต่อไปยังลูกหลานรุ่นหลัง และเทคนิคพิเศษที่เราใช้จะควบคุมให้เกิดการสร้างอวัยวะที่ต้องการเท่านั้น หากมีเซลล์ของมนุษย์ไปพัฒนาขึ้นที่สมองของตัวอ่อนสัตว์เกิน 30% เราจะหยุดการทดลองทันที"